ปี 2025 ถือเป็นปีที่ดนตรีที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI Music) ก้าวข้ามจากความแปลกใหม่ไปสู่การเป็นพลังขับเคลื่อนหลักในอุตสาหกรรม [1] ศิลปินที่สร้างจาก AI อย่าง **Velvet Sundown** มียอดสตรีมหลายล้านครั้ง และเพลงที่สร้างโดย AI ก็สามารถติดชาร์ตเพลงสำคัญ ๆ ได้อย่างน่าทึ่ง [1] อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้มาพร้อมกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างผู้สร้างสรรค์ดนตรีที่เป็นมนุษย์กับบริษัทค่ายเพลงยักษ์ใหญ่
### ความหวาดกลัวของศิลปิน: ภัยคุกคามระดับ Napster
สำหรับศิลปินส่วนใหญ่ AI ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ยุคการละเมิดลิขสิทธิ์ผ่าน **Napster** [1] ความกังวลหลักคือ AI จะดูดซับผลงานสร้างสรรค์ทั้งหมดในประวัติศาสตร์ แล้วผลิตผลงานออกมาอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งจะมาแทนที่งานศิลปะที่สร้างโดยมนุษย์ และทำให้มูลค่าของความคิดสร้างสรรค์ลดลงจนศิลปินต้องเผชิญกับความยากจน [1]
**Gregor Pryor** ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายดนตรีชี้ว่า ความเสียหายที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก่อนในส่วนของดนตรีประกอบสำหรับโฆษณา ภาพยนตร์ และวิดีโอเกม ซึ่งผู้คนจะเริ่มตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องจ่ายเงินให้ใครมาแต่งเพลงด้วย?” [1]
### การกลับลำครั้งใหญ่ของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่
ในช่วงแรก ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ทั้งสามราย ได้แก่ **Universal Music Group (UMG)**, **Warner Music Group (WMG)** และ **Sony Music** ต่างมองว่า AI เป็นภัยคุกคามต่อลิขสิทธิ์ พวกเขาได้ร่วมกันฟ้องร้องบริษัท AI Music อย่าง **Suno** และ **Udio** ในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ โดยอ้างว่าบริษัทเหล่านี้ฝึกฝน AI ด้วยผลงานของศิลปินโดยไม่ได้รับอนุญาต [1]
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ หลังจากนั้นไม่นาน ค่ายเพลงเหล่านี้กลับเปลี่ยนท่าทีอย่างสิ้นเชิง โดย UMG ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ Udio และ WMG ก็ร่วมมือกับทั้ง Udio และ Suno นอกจากนี้ ทั้งสามค่ายยังได้ทำข้อตกลงกับบริษัท AI Music อีกแห่งชื่อ **Klay** [1]
**Robert Kyncl** ซีอีโอของ WMG กล่าวว่า ข้อตกลงเหล่านี้มีขึ้นเพื่อ “ปกป้องสิทธิ์ของศิลปินและนักแต่งเพลง” และเพื่อขับเคลื่อน “ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในเชิงสร้างสรรค์และเชิงพาณิชย์” โดยประกาศว่า “เรากำลังเข้าสู่เฟสต่อไปของนวัตกรรม นั่นคือ **การทำให้การสร้างสรรค์ดนตรีเป็นประชาธิปไตย (The democratisation of music creation)**” [1]
### การสร้างสรรค์ดนตรีร่วมกัน (Co-creation) และความคลุมเครือ
ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ แพลตฟอร์ม AI Music จะอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถ “สร้าง [ดนตรี] ด้วยเสียงและสไตล์ของศิลปิน” ที่มีอยู่ได้ [1] **Andrew Sanchez** ซีอีโอของ Udio กล่าวว่า ผู้ใช้จะสามารถ “รีมิกซ์และจินตนาการเพลงโปรดของคุณใหม่ด้วย AI… นำศิลปิน เพลง หรือสไตล์ที่คุณชื่นชอบมารวมกันในรูปแบบใหม่ ๆ” [1]
อย่างไรก็ตาม ศิลปินและผู้จัดการส่วนตัวหลายคนยังคงมองด้วยความเคลือบแคลง **Irving Azoff** ผู้จัดการศิลปินชื่อดังกล่าวอย่างเสียดสีต่อข้อตกลง UMG/Udio ว่า “เราเคยเห็นเรื่องแบบนี้มาก่อน ทุกคนพูดถึง ‘ความเป็นหุ้นส่วน’ แต่สุดท้ายศิลปินก็ถูกทิ้งไว้ข้างสนามพร้อมเศษเงิน” [1]
| ประเด็นความขัดแย้ง | มุมมองของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ | มุมมองของศิลปินและผู้สร้างสรรค์ |
| :— | :— | :— |
| **การใช้ AI** | เป็นเครื่องมือเสริมที่สร้าง “ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ” และ “ระบบนิเวศ AI ที่ดีต่อสุขภาพ” | เป็นภัยคุกคามที่ลดมูลค่าของงานศิลปะ และอาจนำไปสู่การทดแทนแรงงานมนุษย์ |
| **การสร้างสรรค์** | “การทำให้การสร้างสรรค์ดนตรีเป็นประชาธิปไตย” ผู้ฟังสามารถร่วมสร้างสรรค์ได้ | การลดอุปสรรคในการเข้าถึงจะทำให้ “คุณค่าของการกระทำที่สร้างสรรค์” ลดลงอย่างมาก |
| **ค่าตอบแทน** | ศิลปินที่เข้าร่วมจะได้รับค่าลิขสิทธิ์เมื่อผลงานถูกใช้ฝึก AI หรือถูกนำไปดัดแปลง | กังวลว่าค่าตอบแทนที่ได้รับจะเป็นเพียง “เศษเงิน” และขาดความโปร่งใสในข้อตกลง |
การที่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่เปลี่ยนจากการฟ้องร้องมาเป็นการร่วมมือกับบริษัท AI Music แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเห็นโอกาสทางธุรกิจขนาดใหญ่ในเทคโนโลยีนี้ แต่ความท้าทายที่แท้จริงในปี 2026 คือการสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรม AI กับการปกป้องสิทธิ์และคุณค่าของศิลปินที่เป็นหัวใจหลักของอุตสาหกรรมดนตรี
***
### References
[1] Eamonn Forde. (2025, December 16). *Musicians are deeply concerned about AI. So why are the major labels embracing it?*. The Guardian. [https://www.theguardian.com/music/2025/dec/16/musicians-are-deeply-concerned-about-ai-so-why-are-the-major-labels-embracing-it](https://www.theguardian.com/music/2025/dec/16/musicians-are-deeply-concerned-about-ai-so-why-are-the-major-labels-embracing-it)
